รีวิว

มนต์เสน่ห์หลวงพระบาง 4 วัน 3 คืน

Laos
วันออกเดินทาง 12/06/2018
วันเดินทางกลับ 15/06/2018
จำนวนผู้ร่วมทริป ผู้ใหญ่ 1 คน
งบประมาณเฉลี่ยต่อคน 1,001 - 5,000 บาท
บันทึกเพิ่มเติม หลวงพระบาง เมืองแห่งมนต์เสน่ห์
135K views
วันที่
1

สวัสดีค่ะ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มีโอกาสไปที่หลวงพระบาง 4 วัน 3 คืน หลวงพระบางเป็นเมืองที่เราคิดว่าสงบสุข ทำให้เรานึกถึงชีวิต ว่า มันควรเป็นยังไง เราจะลืมเกือบทุกสิ่งที่เราปรารถนา เช่น บ้าน รถ กระเป๋า รองเท้า สิ่งต่างๆที่ ยั่วยุกิเลสเรา ความรู้สึกที่อยู่ ณ ตอนนั้นคือ เรารู้สึกว่า ความต้องการจริงๆของมนุษย์นั้นคืออะไร ใช่สิ่งยั่วยุ นั่นมั้ย หรือ ความสงบสุขกันแน่ แล้วเราก็ค้นพบว่า ความสงบสุขคือ สิ่งที่มนุษย์ ต้องการอย่างแท้จริง ที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบ อาจจะเพราะเราไป ช่วงหน้าโลวซีซั่น เป็นหน้าฝน แต่อากาศค่อนข้างจะร้อน ถ้าวันไหนฝนไม่ตก ที่นั่นมีอะไรหลายอย่างให้ทำ เช่นเดินเข้าไปในเมือง เดินไป ยอดพูสี เยี่ยมชมพระราชวัง เดิน night market แล้วก็เดิน ชมรอบเมือง สิ่งที่เราชอบจากที่นั่น คือ ของราคาไม่แพง ของทุกอย่างมีความเป็นเอกลักษณ์

เราไม่รู้เรื่องรถเข้าเมืองเท่าไหร่ แต่จากที่เห็นจากป้าย ราคาราวๆ 50,000 กีบ หรือ ฿200. ซึ่งบางคันก็สามารถหาคนมาหารเพิ่มได้ บางคันก็คิดราคานี้ต่อคน ต้องถามเค้าให้ดีๆค่ะ แต่เราจองกับ Burasari Heritage เค้ามีรถรับส่งฟรีค่ะ รถเก๋มาก เราชอบสุดๆ

เนื่องจากวันที่เราถึงเป็นวันแรก อากาศค่อนข้างดี แต่เราเหนื่อยเลยไม่ได้ไปไหน อยู่ห้องเตรียมตัวไปตักบาตรค่ะ เลยอยู่แต่แถวๆโรงแรม โรงแรมนี้โลเคชั่นดีมากๆ เดินไปไหนก็สะดวกค่ะ จากโรงแรมไปที่ตักบาตรประมาณ 2 นาที เดินไปวัดเชียงทองประมาณ 10 นาที เดินไปตลาดมืด หรือพูสี ก็ประมาณ 10 นาทีค่ะ ข้อดีที่นี่อย่างนึงคือ ไม่ต้องเสียค่ารถเยอะ เพราะเดินเองได้

สิ่งที่ทำให้เราเลือกจองกับโรงแรมนี้คือ ที่อาบน้ำเก๋มาก ถ้ามากับแฟนนี่ก็จะโรแมนติกหน่อยๆ 5555555 ราคาไม่แพงมากค่ะ เราจองกับทาง Website โดยตรง มีโปรโมชั่นอยู่ในเฟสบุ้ค ลองไปเช็คดูได้ค่ะ ราคาก็จะถูกกว่า จองกับ Agoda

ที่นี่มีร้านอาหารด้วยค่ะ ชื่อ The terrace ราคาก็พอๆกับไปกินข้างนอก เป็นอาหารไทย อร่อยมาก อร่อยกว่าบางที่ในกรุงเทพอีกค่ะ เนื่องจากเชฟเป็นคนไทย เราก็ว่าทำไมคนลาวทำอาหารไทยอร่อยมาก สรุปเป็นคนไทยทำค่ะ

วันที่
2

ถ้าจะมาตักบาตรแนะนำให้ออกมาช่วง ตี 5:30 ค่ะ ราคาสำหรับข้าวเหนียวประมาณ 10,000-20,000 กีบค่ะ แต่โรงแรมที่เราพักก็จะจัดให้ฟรีค่ะ แต่ต้องบอกเค้าล่วงหน้า เราสงสัยว่า ถ้าใช้มือจก ข้าวเหนียว พอพระ เอาไปฉันท์ จะเค็มมั้ย เราเลยถามพนักงานไป เค้าบอกว่า หลังจากพระบิณฑบาตรเสร็จ เค้าจะเอาไปนึ่งใหม่ แต่ระหว่างตักบาตร เค้าจะไม่ให้ปั้นค่ะ การแต่งกายควรจะเรียบร้อย ถือว่าเป็นการให้เกียรติ และเคารพประเพณีของเค้าค่ะ เหมือนเราไปเข้าวัด ทำบุญ ช่วงใส่บาตรต้องใส่สไบ ทางโรงแรม หรือถ้าซื้อจากร้าน เค้าก็จะมีให้ ถือว่า เป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ

หลังจากตักบาตรเสร็จ เราก็ไปตลาดเช้าค่ะ ตลาดก็เหมือนตลาดบ้านเรา เดินไปไม่ไกลจากที่ตักบาตรค่ะ ประมาณ 5-10 นาที ของที่ขาย ส่วนมากจะเป็นของสดค่ะ เราแนะนำถ้าจะซื้อขนมไปฝากให้ซื้อจากที่นี่ ราคาไม่แพงมากค่ะ ส่วนใหญ่ที่จะซื้อไปฝากก็จะเป็นพวก ผลไม้อบแห้งค่ะ

จากตลาดเช้า เราก็ไป ร้านประชานิยมค่ะ ร้านนี้ค่อนข้างดังในหมู่นักท่องเที่ยวค่ะ นั่งกินโจ้กกับ ชา ริมแม่น้ำโขง ไม่มีอะไรฟินไปกว่านี้แล้ว พูดแล้วก็คิดถึงค่ะ

นี่คือบรรยากาศในหลวงพระบาง เราชอบเมืองนี้มาก คงความเป็นเอกลักษณ์ ไม่เปลี่ยนไปตามค่านิยม หรือกาลเวลา ที่นี่ เหมาะสำหรับคนที่ชอบบรรยากาศ แบบย้อนยุค วินเทจ แต่ความวินเทจนั้นก็มี Miniso 555555


หลังจากนั้นเราก็กลับไปพักที่โรงแรมค่ะ เนื่องจากอากาศร้อน ทำให้อยู่ข้างนอกนานๆมากไม่ได้ค่ะ เพลียจากการตื่นเช้าไปตักบาตร เราก็เลยอยากไปสปา ที่นี่มีสปาหลายที่ แล้วก็มีร้านนวดแบบไม่แพงให้เลือกค่ะ แต่เราอยากลองสปาที่นี่ เลยลองหาข้อมูลว่าที่ไหนดี ก็เลยไปเจอจาก TripAdvisor ว่า Spa Burasari ดีที่สุดในหลวงพระบาง เราก็เลย เอ้า อยู่ที่โรงแรมเรานี่นา เลย ไปลอง ชอบมากๆค่ะ เค้าจะมีพิธีบางอย่างก่อนนวดให้เรา รู้สึกผ่อนคลายแล้วก็ชอบที่เค้าทำสะอาดมาก ล้างมือตลอดก่อนจะนวดที่อื่น ตอนแรก เราปวดหลัง เค้าก็จะมีใบให้เลือกว่า ปวดตรงไหน ชอบเบาๆ หรือแรงๆ พอนวดเสร็จก็รู้สึกดีขึ้นค่ะ ตรงตามที่เราต้องการ ราคาก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับ คุณภาพ และ service mind ของที่นั่น

หลังจากสปาเสร็จ เราก็ไปขึ้นยอดพูสี จะบอกว่า บันไดแบบ ดูดพลังงานมาก ขั้นนึง คือประมาณ 1-2 ก้าว บันไดขึ้นยอดพูสี ประมาณ 328 ขั้น เหนื่อยมาก แต่ดีที่เราเตรียมน้ำไป เพราะฉะนั้น ใครจะมาขึ้นก็ เตรียมน้ำ กับใส่รองเท้าผ้าใบก็ดีนะคะ ถือเป็นการเซฟตัวเอง เราขึ้นไปช่วงประมาณ บ่าย2 เพราะไม่อยากอยู่ช่วงคนเยอะๆ เราว่าพื้นที่มันเล็ก ถ้าขึ้นช่วงพระอาทิตย์ตก จะวุ่นวายมากๆ เราชอบที่นี่อย่างนึงคือ ทุกอย่างมันสโลวไลฟ์จริงๆค่ะ ค่าเข้าชม 20,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)

สะพานไม้สำหรับข้ามแม่น้ำคาน ถ้าจะลงไปถ่ายรูปบนสะพานต้องเสียค่าผ่านทาง 7,000 กีบค่ะ ถ้าลงมาจากด้านหลังพูสี ก็จะเจอสะพานนี้ค่ะ

พอช่วงเย็นๆ เราก็ไป ตลาดมืด ที่นี่ จะเปิดตอน 5 โมง-4 ทุ่มค่ะ ก็เริ่มไปช้อปปิ้งกันค่ะ ของที่นี่ จะคล้ายๆกัน ราคาก็แล้วแต่จะต่อ สามารถต่อราคาได้ค่ะ คุณภาพก็โอเคเลย เราได้ชุดจากที่นี่ ไปประมาณ 3-4 ชุม ดีไซน์เก๋ น่ารักมากๆค่ะ ตลาดมืดค่อนข้างจะยาว เดินดูของไปด้วยแถมยังได้ออกกำลังกาย เดินยังไงก็ไม่เบื่อ ชมเมือง หรือจะดื่มเบียร์ลาว แต่เราไม่ชอบเบียร์ เลยไม่ได้ลอง แต่ถ้าใครอยากนั่งชิวๆ ก้มีหลายร้านให้เลือกค่ะ โดยที่นี่ จะมี curfew ตอนเที่ยงคืน เกือบทุกร้านจะปิดตั้งแต่ 5 ทุ่ม ก็ได้ความรู้สึกแปลกไปอีกแบบ

วันที่
3

ก่อนออกข้างนอกเราก็มาทาน Breakfast ที่โรงแรมค่ะ เราชอบครัวซองมากๆ อร่อยมากกก สามารถสั่งเค้าได้เลยค่ะ พวกเบคอน หรือไส้กรอกเค้าจะทำให้ตอนเราสั่ง จะไม่วางไว้ในถาด ซึ่งเราคิดว่า หลายๆโรงแรมควรจะทำแบบนี้ เพื่อให้อาหารร้อน

เราก็ เดินรอบเมือง รับอากาศบริสุทธิ์ ที่นี่คนส่วนใหญ่จะเดินกับปั่นจักรยานค่ะ ถ้าจักรยานก็จะเป็นนักท่องเที่ยว ซะส่วนใหญ่ มีร้านกาแฟนึง ที่เราชอบมากๆ คือเดินผ่าน แล้วได้ยินเพลง เพลงเก๋มากๆ เข้ากับเมืองแล้วก็บรรยากาศภายใน วินเทจสุดๆค่ะ ร้านชื่อ Café de Laos เราชอบการตกแต่งของร้านมากๆ กาแฟก็รสชาติดีค่ะ

ตอน 11.30 เราต้องเตรียมตัวไป น้ำตกกวางสี ค่ารถ อยู่ที่ราคาประมาณ ฿200-300 เราเลือกจองกับโรงแรมเลยได้มาในราคาที่ค่อนข้างถูก จะใช้เวลาประมาณ 45 นาที-1 ชมในการเดินทาง ก็ถือว่า คุ้มค่าที่ได้ไป เพราะน้ำตกสวยมาก ตอนแรก เราเห็นรูปเราก็คิดว่าคน แต่งรูปให้ดูฟ้า คือน้ำตกนี่ สีฟ้าจริงๆ ค่ะ มีหลายชั้น บางชั้นก็สามารถ เล่นน้ำได้ บางชั้นก็เล่นไม่ได้ ต้องคอยดูป้ายเอาค่ะ

ระหว่างทางลงก็จะมีของที่ระลึกขาย เราคิดว่าไปซื้อที่ตลาดจะถูกกว่าค่ะ

สิ่งที่เราคิดว่ามันน่าแปลกคือ อยากจะออกไปข้างนอกตลอด เพราะรู้สึกว่าอยากเก็บความทรงจำนี้ไว้นานๆ พอถึงโรงแรมไม่นานเราก็เตรียมตัวจะไป Sunset Cruise ค่ะ โดยแพคเกจที่เราเลือกจะมี ให้ฟรี บางแพคเกจ อาจจะต้องจ่ายค่าล่องเรือ แต่ราคาไม่แพงมากค่ะ ชมพระอาทิตย์ตกดินที่แม่น้ำโขง บอกเลย ฟินมากๆ ประทับใจจริงๆค่ะ

วันที่
4

วันที่3 เราตัดสินใจว่า จะไปชมพระราชวัง กับ วัดเสียงทอง เราไปชมพระราชวังช่วงเช้าๆค่ะ จะ เปิดเวลา 08.00 - 11.30 น. และ 13.30 - 16.30 น.ค่าเข้าชม 30,000 กีบ (ประมาณ 120 บาท) ถ้าเข้าไปแค่ในเขต ถ่ายรูป เข้าฟรีค่ะ แต่ถ้าเข้าไปข้างใน ต้องเสียเงิน และห้ามถ่ายรูป การแต่งกายจะต้องแต่งให้เรียบร้อยเพราะเป็นการแสดงความเคารพ เราชอบพระราชวังมากๆ เพราะอยู่ใจกลางเมืองและบรรยากาศ รอบๆ ก้ร่มรื่น

พอบ่ายๆ เราก็เข้า cooking class กับโรงแรมค่ะ เนื่องจากอาหารส่วนมากเป็นอาหารไทย เค้าก็จะสอนให้ทำอาหารไทยค่ะ เราไปเรียนเพราะ complimentary ดีกว่าปล่อยให้เสียเปล่า บวกกับไม่มีอะไรทำด้วยค่ะ โดยส่วนมากจะเป็นคนต่างชาติที่เข้าทำอาหารค่ะ เราชอบบรรยากาศระหว่างทำ อยู่ริมแม่น้ำคาน ฟินเว่อ คนนอกก็สามารถมาเรียนได้ค่ะ ซึมซับบรรยากาศ

หลังจาก Cooking class เสร็จ เราก็ไปวัดเสียงทอง ในความคิดเรารู้สึกว่า วัดนี้สวยมากๆ ดีเทลเริ่ด แต่อยู่ได้แค่แปปเดียว เพราะวัดค่อนข้างเล็ก เดินแปปเดียวก็หมดแล้ว สำหรับใครที่จะมา อย่าลืมแต่งกายให้เหมาะสมค่ะ เพราะเราต้องให้เกียรติสถานที่

เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ ทุกๆวันอังคารกับวันศุกร์ จะมีร้านพิซซ่าชื่อ The secret pizza เป็นอิตาเลี่ยนพิซซ่าของแท้ เนื่องจากเจ้าของร้านเป็นคนอิตาลี และเป็นคนทำค่ะ ร้านนี้ค่อนข้างดังและเต็มตลอด ถ้าจะไป ต้องจองล่วงหน้า ไม่งั้นเสียเที่ยว เราแนะนำเลย พิซซ่าอร่อย แล้วก็ไวน์ถูกมาก

ขวดนี้ราคา ฿700-800 เราก็จำราคาแน่ๆไม่ได้ แต่รสชาติดีค่ะ เราคิดว่าถ้ามาไทยคงราคาราวๆ ฿1500-2000 นอกจากเบียลาวแล้ว อย่าลืมลองไวน์ที่นี่นะคะ ถูกลื้ม

วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว เราต้องกลับบ้าน เลยเดินรอบๆเมือง ก่อนมาเราคิดว่า อาจจะไม่สนุกเท่าไหร่ เนื่องจากเราชอบไปทะเลมากกว่า แต่เห็นช่วงนี้หลวงพระบาง ราคาถูก เพราะเป็นโลว์ซีซั่น เลยอยากลองทำตัว slow life หลวงพระบาง ที่นี่แบบเกินความควาดหมายมากๆ เราคิดว่าต้องน่าเบื่อสุดๆ Club ที่มี EDM ก็ไม่มี จะรอดมั้ยเนี่ย สรุป ไม่อยากกลับบ้าน อยากอยู่ต่อ เพราะเราหลงเสน่ห์ที่นี่มากจริงๆ ทำให้เราทิ้ง แสงสีไปเลย ไว้เจอกันใหม่อีกแน่นอนหลวงพระบาง 😊

ความคิดเห็นทั้งหมด (0)

    รีวิวที่คล้ายกัน

    ทริปที่ใกล้เคียง

    ไอเดียที่ใกล้เคียง