รีวิว

ขับรถเที่ยวโอกินาว่ากันเถอะ!!

Japan
วันออกเดินทาง 26/07/2017
วันเดินทางกลับ 29/07/2017
จำนวนผู้ร่วมทริป ผู้ใหญ่ 4 คน
งบประมาณเฉลี่ยต่อคน 15,001 - 20,000 บาท
บันทึกเพิ่มเติม ฝากติดตาม รีวิวต่างๆของผมด้วยนะครับ
Pantip : https://pantip.com/profile/649721
facebook : https://www.facebook.com/moolovetravel
174K views
วันที่
1

ทริปนี้เกิดจากการที่โดนโฆษณาทางการตลาดของสายการบิน Peach Air อยู่บ่อยครั้งทั้งทางเมลและสื่อออนไลน์ต่างๆ พร้อมกับราคาที่โดนใจจริงๆ ไป-กลับญี่ปุ่นด้วยงบไม่เกิน 5,000 บาท ทำให้อดใจไม่ไหวกดคลิกจองตั๋วพร้อมชำระค่าเสียหายเรียบร้อย เราเดินทางกันทั้งหมด 4 คน ไปกัน 4 วัน 3 คืน เดือนที่เราไปคือเดือน ก.ค. เป็นหน้าร้อนของโอกินาว่าเลย ต้องบอกว่าร้อนมากจริงๆเมืองไทยยังอายเลยและที่สำคัญเป็นน่า High Season ของโอกินาว่าเลยเรื่องโรงแรมเลยราคาจะสูงกว่าปกติ เพราะตอนแรกเราเข้าใจผิดคิดว่าหน้า High ของเค้าถือหน้าหนาวแต่ที่นี่กลับไม่ใช่แต่จะทำยังไงได้จองไปแล้วเนอะ ซึ่งเที่ยวบินของสายการบินนี้ถือว่าปล่อยออกมาตรงใจกับมนุษย์เงินเดือนแบบเราเลย บินกลางคืนจากไทยถึงเช้าที่ญี่ปุ่น และบินกลับดึกจากญี่ปุ่น ถึง ดึกมากของประเทศไทย มีเที่ยวบินรอบเดียวให้เลือกเท่านั้นนะครับ แต่ผมคิดว่าคงโดนใจใครหลายคนแน่นอน เราไปกันทั้งหมด 4 คน จะไปเยอะกว่านี้ก็ลำบากเพราะลางานกันไม่ได้เยอะกว่านี้นะครับ ต่อมาเราก็มาหาข้อมูลว่าโอกินาว่ามันเป็นยังไง มันแตกต่างกับโตเกียวหรือโอซาก้าตรงไหนไหม สรุปง่ายๆคือสถานที่เที่ยวส่วนใหญ่อยู่นอกเมืองซึ่งไม่ได้มีรถไฟวิ่งไปถึงแบบโตเกียวหรือว่าโอซาก้า แต่จะมีตัวเลือกอยู่สำหรับคนที่จะเที่ยวนอกเมืองคือรถบัสกับเช่ารถขับเอง ดังนั้นเราไปกัน 4 คนก็ต้องเช่ารถแน่นอนครับเพื่อความสะดวกและเที่ยวได้แบบสบายใจเลย ต่อมาก็มาเลือกที่เที่ยวกันเลยว่าจะเที่ยวแบบไหนบ้างที่โอกินาว่าเที่ยวง่ายกว่าที่คิดเพราะว่าเราสามารถเปิด GPS ที่รถไปได้ทุกที่เลย ดังนั้นเลยไม่ต้องวางแผนเรื่องเที่ยวด้วยรถไฟแบบโตเกียวหรือโอซาก้าเลย แค่จิ้มว่าอยากไปเที่ยวที่ไหนก็กดไปได้เลยเราจะแบ่งการเที่ยวเป็น 3วันแรกเราจะเที่ยวนอกเมืองและพักนอกเมืองส่วนวันสุดท้ายเราจะกลับมาเที่ยวในเมืองนะครับ รายละเอียดต่างๆ ติดตามกันต่อได้เลยครับ ทุกอย่างมีพร้อมแล้วก็ลุยกันเลยครับ สายการบินนี้บินที่สุวรรณภูมินะครับ เดินขาเมื่อยเลย gate อยู่ในสุดเลยตอนเช็คอินทางเจ้าหน้าที่เค้าแนะนำพวกเราว่าเผื่อเวลาเดินหน่อยนะ ตอนสายการบินนี้เปิดใหม่ๆได้ยินปัญหาเรื่องการดีเลย์บ้าง การบริการบ้าง แต่ที่เรามาเจอรอบนี้ทุกอย่างปกติดีครับไม่มีดีเลย์และติดขัดอะไรเครื่องออกปกติเลย เราเดินทางเวลาตี 1.40 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5ชั่วโมง จะถึงเวลาในญี่ปุ่นก็คือ 8โมงเช้าครับ พอขึ้นเครื่องทุกอย่างพร้อมแล้วไม่รอช้าหลับยาวๆเลยครับ แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่าสายการบินนี้มันเป็น Low Cost ของญี่ปุ่น เครื่องจะไม่ได้ใหญ่มากนะครับ แต่สำหรับผมคิดว่าราคาแบบนี้กับการนั่งแบบนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลครับ

เมื่อผ่าน ตม มาแล้วก็เจอบูธลริษัทเช่ารถที่เราได้ทำการจองไว้แล้ว เราจองของ OTS rent a car

เราสามารถซื้อบัตรเข้าสถานที่เที่ยวต่างๆได้จากที่บริษัทเช่ารถเลยนะครับ เพราะว่าราคาจะได้ถูกว่าเราไปซื้อที่สถานที่เที่ยวนั้นอีกนะ แต่อันไหนไมชัวร์ก็อย่าไปเสี่ยงซื้อเลยครับ

ตั้งแต่ลงเครื่องบินมายังไม่ได้กินอะไรเลย เราก็มาแวะกินข้าวบนที่พักรถบนทางด่วนกัน

โอกินาว่าโซบะ อาหารยอดฮิตของที่นี่เลย

ที่แรกที่เรามาเที่ยวก็คือ Okinawa Churaumi Aquarium ได้ซื้อบัตรมาเรียบร้อยแล้ว

ไฮไลท์ของที่นี่เลยครับ ฉลามวาฬ

ต่อมาเราก็มาดูโชว์ปลาโลมากันต่อ วันหนึงจะมีโชว์ 4 รอบ

เราตั้งใจจะไป Kouri Ocean Tower ต่อ แต่พอไปถึงแล้วสถานที่เค้าปิดแล้วเลยขึ้นไปข้างบนไม่ได้ เราเลยได้แต่ถ่ายรูปจากด้านล่างอย่างเดียวก็สวยไปอีกแบบนะ

เริ่มหิวกันแล้ว เราตั้งใจจะกินปิ้งย่างกันซึ่งอยู่แถวที่พักเราเลย ใครสนใจใส่เบอร์โทรนี้ไปใน GPS ได้เลยนะ

มาถึงต้องมาจองคิวก่อนนะครับ จังหวะเรามาโต๊ะเต็มเลยต้องรอคิวประมาณ 30 นาที

เราจองที่พักไว้ที่
Mr. Kinjo in MATABee สำหรับนอน 2 ห้องนอน 2 คืน เป็นเงินทั้งหมด 21,600 เยน ก็เฉลี่ยกันออกมาแล้วตกคนละ 5,400 เยน คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1,600 บาท สำหรับ 2 คืน ก็ถือว่าไม่แพงและห้องดีมากด้วยครับ เรามาถึงที่พักประมาณ 2 ทุ่ม ก็จะมีเจ้าหน้าที่อยู่ข้างล่างคอยติดต่อทำเรื่องได้เลยแต่ถ้าเอารถมาเราจะเสียค่าจอดรถเพิ่มอีกคืนละ 1,000 เยน ทำยังไงได้ก็ต้องเสียไปนะครับเพื่อความสะดวกและที่สำคัญก็ไม่มีที่จอดที่ไหนแล้ว มาดูในห้องกันเลยครับที่นี่ถือว่ามีพร้อมทุกอย่างหมดแล้วนะ ไดร์เป่าผม สบู่ ยาสระผม ครีมนวด ผ้าขนหนู ที่ปั่นหู ที๋โกนหนวด ตู้เย็น ไมโครเวฟ มียันเตาแก๊สเลยครับ

วันที่
2

เช้านี้เรามาลุยเที่ยวต่อกันเลยออกจากที่พักจุดหมายแรกที่เราจะไปก็คือ Ryukyu Village วิวและอากาศมันดีจริงๆขับเลาะริมทะเลไปเรื่อยๆเลย ต้องบอกว่าที่โอกินาว่ามีชายหาดและจุดชมวิวอยู่เยอะมากจริงๆ ถ้าใครถูกใจจุดไหนก็สามารถจอดรถลงไปชมทะเลหรือว่าถ่ายรูปได้เลยนะครับ อย่างผมก็ชอบวิวตรงนี้ บรรยากาศดี น้ำนิ่งและน้ำใสมากถ้าไม่ติดต้องไปเที่ยวสถานที่ต่างๆสงสัยจะใช้เวลาอยู่ตรงนี้นานๆเลย

ระหว่างทางเราก็เจอร้านของฝากเจ้าดังของที่นี่จุดเด่นง่ายๆก็คือรูปมันม่วง ตามถนนจะมีป้ายบอกเรื่องร้านของฝากอยู่ครับและที่นี่ก็มีร้านอาหารด้วยเลยตัดสินใจจะกินข้าวกันที่นี่เลย แต่สอบถามร้านอาหารเค้าก็บอกว่าเปิด 11 โมง เราเลยมาเดินหาซื้อของฝากกันก่อนดีกว่า

มาดูมุมของฝากที่ระลึกกันบ้างนะครับ ที่เราเห็นอยู่เค้าเรียกว่า ซีซ่า (shishi ??) เป็นเครื่องรางของที๋โอกินาว่านะครับส่วนใหญ่ทุกบ้านจะมีหมด จะมีวางไว้บนหลังคาบ้านบ้าง บางบ้านก็จะวางไว้หน้าบ้าน มีความเชื่อกันว่า จะมีตัวผู้กับตัวเมีย ตัวที่อ้าปากจะเป็นตัวผู้ จะคอยรับโชคลาภเข้ามา ส่วนตัวที่หุบปากจะเป็นตัวเมียจะคอยป้องกันไม่ให้อันตรายเข้ามาได้ ส่วนใหญ่ร้านของฝากจะมีขายทุกที่นะครับ บางคนก็อาจจะไปซื้อในเมืองหรือสนามบินก็ได้ แล้วแต่แบบแต่ลาย ลักษณะท่าทางด้วยครับ แต่เราก็ซื้อจากที่นี่ไปเลยเพราะเจอตัวที่ถูกใจอะครับ

ที่นี่ก็จะมีให้เราดูวิธีการผลิตด้วยนะครับ ให้เห็นๆกันไปเลยว่าการผลิตของเค้าเป็นยังไง

เสร็จแล้วก็มาชำระเงินได้เลยครับ ที่นี่ถ้าเป็นของที่ระลึกจะมี Tax Free อยู่นะครับ เฉพาะของที่ระลึกนะครับ แต่ผมจำยอดไม่ได้ว่าขั้นต่ำเท่าไหร่ประมาณ 7,000 เยน หรือ 5,000 เยน เนี่ยแหละครับ ทางร้านจะมีถุงใส่ให้นะครับ ถุงสวยด้วยครับ ใช้เวลาตรงนี้นานพอสมควรจนร้านอาหารเปิดพอดีก็ได้เวลากินข้าวกันแล้ว เอาของไปเก็บที่รถก่อนและเดินไปไม่ไกลครับอยู่ติดกันเลย

มาถึงเป็นเจ้าแรกเลย คนยังไม่มีเลือกที่นั่งได้สบายๆเลย

สาหร่ายที่มีชื่อขอที่นี่เลย

ผัดมะระอีกเมนูที่ต้องกินให้ได้

ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงแล้ว Ryukyu Village

เรามีซื้อบัตรมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ต้องมาเปลี่ยนบัตรก่อนเข้าไปนะ

ที่นี่มีการแสดงให้เราดูเป็นรอบๆด้วยนะครับ มีการแสดงหลากหลายมากที่นี่

ที่ต่อไปของเราคือ American Village กันครับ ตอนแรกว่าจะไปช่วงเย็นหน่อยจะได้เดินไม่ร้อนมากแต่จะรอเวลาก็ไม่ไหว และอีกอย่างที่พักเราอยู่ไกลจากที่นั่นด้วยไม่อยากขับรถกลับมาดึกครับเลยตัดสินใจไปตั้งแต่ตอนนี้เลย

หลังจากเดินซื้อของได้หมดแล้วก็ถึงเวลาย้ายที่เที่ยวกันอีกแล้ว ที่ต่อไปของเราคือ Busena Marine Park ซึ่งที่นี่เราก็มีการซื้อบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว จริงๆถ้าไม่อยากขับรถให้เสียเวลาอ้อมไปอ้อมาจริงๆเราต้องไป Manzamo cape แต่ Busena Marine Park จะปิดประมาณ 5 โมงเย็น เราเลยต้องรีบไปที่นี่ก่อนแล้วค่อยไปดู Manzamo cape ทีหลัง ยอมขับรถเสียเวลาหน่อย แต่ไม่ถือว่าเสียหายมากครับ

เรามายืนรอรถบัสตรงนี้เพราะเดินไม่ไหว มันไกลพอสมควรเลย

พอไปถึงก็ยืนบัตรเข้าให้เจ้าหน้าที่ดูได้เลยครับ เค้าจะคอยเช็คว่าคนที่อยู่ข้างล่างมีคนอยู่เยอะไหม เพื่อไม่ไหวลงไปอัดกันอยู่ข้างล่างครับ

ระหว่างนั่งรอรถบัสก็ขอถ่ายรูปอีกรูปเก็บไว้หน่อย ที่ต่อไปของเราก็คือ Manzamo Cape ตอนแรกเราหวังว่าจะไปถึงตอนพระอาทิตย์ตกดินพอดี แต่ดูแล้วพระอาทิตย์น่าจะตกยาก เพราะ 6 โมงเย็นแล้วแดดยังแรงอยู่เลย

ระหว่างทางก็เจอร้านมันม่วงแต่เป็นอีกสาขาหนึ่งเลยว่าจะเข้าไปดูว่ามีอะไรน่ากินไหม สรุปร้านปิดหมดแล้ว สาขานี้จะดีตรงที่ติดทะเลและมีร้านอาหารกับร้านขนมติดหาดเลยครับ สามารถเดินลงไปที่หาดได้ด้วยครับ ถ้าใครมีโอกาสได้มาน่าจะมาแวะทีนี่นะ

บรรยากาศของร้านกาแฟและร้านอาหาร

ระหว่างทางก็แวะจุดดูพระอาทิตย์ตกดิน

ต่อมาถึงเวลาเย็นแล้วได้เวลากินข้าวแล้ว เรามาแวะร้านนี้ซึ่งเลยร้านปิ้งย่างที่เรากินเมื่อวานมานิดเดียว

คล้ายๆข้าวผัด เราก็เอาช้อนมาคลุกๆๆก็กินได้เลยครับ

ต้องมีอาหารนี้ทุกมื้อ

หลังกินอิ่มเราก็มาเดินย่อยกันหน่อยร้านรองเท้าอยู่ตรงข้ามกับร้านกินข้าวเราเลย เราเดินย่อยกันเพื่อจะกินซูชิ 100 เยน ที่อยู่ติดกัน

เข้ามาต้องกดคิวและเลือกเอานะครับว่าจะนั่งแบบโต๊ะหรือว่านั่งแบบเคาน์เตอร์ และดูคิวที่จอทีวีได้เลย

วันที่
3

เช้าวันที่ 3 ของการอยู่ที่โอกินาว่าแล้ว วันนี้เราจะต้องเลาะเที่ยวกลับเข้าเมืองและเอารถไปคืนกัน นอนที่นี่มา 2 คืนละ พึ่งได้ถ่ายรูปที่พักมาให้ดูกัน มีโอกาสได้กลับมาเที่ยวโอกินาว่าอีกจะกลับมาพักอีกแน่นอนครับ มื้อเช้าวันนี้เราได้ซื้อพวกนมและขนมปังไว้กินบนรถแล้วเพราะเช้านี้เราจะต้องไปเดินขึ้น Katsuren Castle กันเดี๋ยวจะเดินกันไม่ไหวก่อนใช้เวลาเดินทางประมาณ1ชั่วโมงจากที่เราพัก

มาถึงแล้ว Okinawa World เหมือนจะมีคนไทยมาเที่ยวเยอะเพราะว่าพนักงานบางคนพูดภาษาไทยได้และมีข้อความภาษาไทยไว้ให้เราดูด้วยครับ

บัตรเรามีซื้อไว้แล้วก็เดินเข้าไปเลยครับ

หลังจากเดินในถ้ำเสร็จก็หิวหนักกันแล้ว หาอะไรกินก่อนเดินเที่ยวต่อกันดีกว่า

โอกินาว่าโซบะ อีกแล้ว

ข้าวหน้าหมู

หลังจากกินอิ่มก็เดินมาเจอที่ดู 4D เลยขอลองกันก่อนครับ เลือกได้ 2 เรื่อง เราเลยเลือกเรื่องอันดับ 1 และอันดับ 2 ของที่นี่เลย

หลังจากเดินร้อนๆก็หาอะไรเย็นๆกินกันหน่อยดีกว่า

เย็นชื่นใจจริงๆเลย

หลังจากเที่ยวเสร็จแล้วก่อนเอารถกลับมาคืนเราก็แวะไปโรงแรมที่เราจะนอนคืนนี้เพื่อไปฝากกระเป๋าไว้ก่อน และค่อยเอารถมาคืนก่อนคืนต้องเติมน้ำมันเต็มถังคืนให้เค้าด้วยนะครับ

หลังจากนั้นจุดหมายของเราต่อไปคือ Ashibinaa Okinawa Outlet Mall ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริษัทรถที่เราเช่าเลยครับ สามารถเดินไปได้สบายๆ

เดินไปเดินมาหิวซะละ แวะกินร้านป้าเค้าหน่อย

หลังจากเดินกันเสร็จก็มืดซะแล้ว เราก็หาข้อมูลว่าจะกลับมาในเมืองยังไง ก็ได้ข้อมูลว่าต้องนั่งรถเมล์สาย 56 มาลงป้าย Akamine หลังจากนั้นเราก็ซื้อบัตรรถไฟ 1 Day pass ราคา 700 เยน

เรามาลงสถานี Asahibashi ก็เดินไม่ไกลครับ โรงแรมที่เราพักคือ Kariyushi LCH Premium ครับ ตรงนี้จะมี 3 สาขาเลยนะครับ ที่พักนี้ ความคิดว่าจะสู้ที่พักใน 2 คืนแรกไม่ได้นะครับ ด้วยอุปกรณ์หลายๆอย่างไม่ได้มีเอาไว้ให้ แต่สามารถซื้อได้จากข้างล่างจะมีตู้หยอดเหรียญอยู่หรือว่าสามารถซื้อได้จาก Lawson เพราะอยู่ใกล้กันเลยและที่นี่ไม่รับฝากกระเป๋านะครับแต่จะมีล็อคเกอร์ฝากกระเป๋าอยู่ก็อาจจะต้องเสียเงินนิดหน่อยครับ ส่วนห้องจะแคบกว่าและราคาจะแพงกว่าที่เก่า แต่ก็เข้าใจได้เพราะว่าเป็นที่พักอยู่ในเมือง สำหรับทริปวันที่ 3 จบแล้วครับ นอนเก็บแรงไว้เที่ยวในวันสุดท้ายก่อนกลับประเทศไทยดีกว่า

วันที่
4

วันนี้สุดท้ายของการอยู่โอกินาว่าแล้วนะ ตื่นเช้ามาเราฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อคเกอร์นะครับ แต่เจ็บใจตรงที่มาสังเกตุทีหลังว่าที่สถานีรถไฟก็มีตู้ฝากเหมือนกันเลยเสียเวลาไปมาเอากระเป๋าที่ล็อคเกอร์ ที่พักนี้ให้ Check out 10 โมงนะครับ เช้ามาก ถ่ายรูปในตอนเช้าหน่อย

จุดหมายของเราวันนี้คือ Shurijo Castle นั่งรถไฟฟ้าไปลง Shuri Station และเดินต่อไปอีกไกลพอสมควร แต่ถ้าใครไม่อยากเดินสามารถนั่งแท็กซี่หรือนั่งรถเมล์สาย 7 กับ สาย 8 ไปลงป้าย Shurijo-mae ได้ครับ แต่เราเลือกเดินไปนะครับ

มาถึงเราต้องขอกินข้าวก่อนเลย เพราะหิวกันมากเดินมาตั้งไกลด้วย

ข้าวแกงกะหรี่หมู

อันนี้ไม่รู้เรียกว่าอะไรชี้นิ้วเอาอย่างเดียวเลย

สลัดผัก

เบียร์เย็นๆ1แก้ว

หลังกินอิ่มก็มาเดินดูวิวจากด้านบนกันหน่อย

ที่ต่อไปแล้วเราจะไปเดินเล่นแถว Kokusai Dori ไปดูของฝากอีกนิดหน่อย แวะดื่มกาแฟร้านนี้หน่อยเห็นมีหลายสาขาตามสถานีรถไฟฟ้า

ใช้เวลาไม่นานมาก็มาถึง Kokusai Dori แล้ว

หลังเดินเล่นเสร็จยังพอดีเวลา อยากหาที่เดินเล่นต่อแต่ขอแบบไม่ร้อนเลยนึกถึงที่ T Galleria ที่นี่มีแต่ของมียี่ห้อทั้งนั้นเลย ใช้เวลาช็อปปิ้งอีกสักพักเลย

กลับมาเอากระเป๋าที่โรงแรม อันนี้คือตู้หยอดทุกสิ่งที่เราไม่มีในการใช้อาบน้ำ

มาถึงสนามบินเราก็ยังพอมีเวลา เลยมาหาข้าวกินตอนนี้ก่อน

รสชาติเหมือนยากิโซบะเลยอร่อยๆ

หลังจากกินเสร็จเราเดินหาป้ายนี้ตั้งนานเพราะว่าสายการบินนี้ต้องนั่งรถบัสต่อไปอีกแต่ตอนเรามาเราให้บริษัทเช่ารถที่อยู่ตรงนั้นไปส่งที่บริษัทเช่ารถเลย เราเลยไม่รู้ว่าป้ายนี้มันอยู่ตรงไหน เดินทางตั้งนานกว่าจะเจอ มาถึงยังไม่ได้เวลาเช็คอินเลยต้องรอเลยไปหาที่นั่งรอกันเดินเล่นด้วย

ก่อนขึ้นเครื่องเราขมชิมเบียร์ดำของที่นี่หน่อยจะได้หลับบนเครื่องอย่างสบาย
สรุปง่ายๆเลยว่า โอกินาว่าจะมีความแตกต่างจากโตเกียวหรือโอซาก้านะครับ เรื่องของการเที่ยวและการกิน การเที่ยวที่นี่จะไม่วุ่นวานและเรื่องอาหารการกินผมว่ามันไม่หลากหลายเหมือนที่โตเกียวหรือโอซาก้านะครับ แต่ที่นี่ผมคิดว่าเหมาะสำหรับพาครอบครัวหรือพาพ่อแม่มาเที่ยวนะครับเพราะส่วนใหญ่เราขับรถเที่ยวเป็นหลักเลยไม่มีการเดินให้เหนื่อย ผมมารอบนี้ยังรู้สึกไม่เหนื่อยเหมือนทุกครั้งที่ไปที่อื่นเลยครับ ถ้าใครอยากสัมผัสบรรยากาศแบบญี่ปุ่นในงบราคาที่ไม่แพงผมก็แนะนำที่นี่นะครับ

ความคิดเห็นทั้งหมด (0)

    รีวิวที่คล้ายกัน

    ทริปที่ใกล้เคียง

    ไอเดียที่ใกล้เคียง